MOC 100 Years
TH    EN
Call center 02-507-7717 Call center 02-507-7717
otmwebmaster@moc.go.th srmocthailand@gmail.com
ข่าวประชาสัมพันธ์
Master Template : ข่าวประชาสัมพันธ์
image



          นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประชุมมอบนโยบายกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ที่ผ่านมา พร้อมด้วยนายปัญญา ชวนบุญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายกฤษฏ์ เพ็ญสุภา ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะทำงานฯ โดยการประชุมครั้งนี้ ได้สั่งการให้กรมเร่งเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) โดยเฉพาะไทย-สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (เอฟตา) และไทย-สหภาพยุโรป (อียู) และการเปิดเจรจา FTA กับคู่ค้าใหม่ๆ รวมทั้งเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) แก้ไขอุปสรรคทางการค้า และการลงพื้นที่ในต่างจังหวัด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จาก FTA ตลอดจนการบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับภาคเศรษฐกิจ สังคม และประชาชน อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การส่งเสริมการค้าขายบริเวณด่านชายแดน ควรบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานภายนอก เช่น กรมการค้าต่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หน่วยงานภายในจังหวัด และสมาคมการค้าในต่างประเทศของประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น เพื่อสนับสนุนข้อมูลการค้า การใช้สิทธิประโยชน์ FTA แก้ไขอุปสรรคการค้าระหว่างประเทศ และจัดงานแสดงสินค้าด่านชายแดนของไทย อาทิ ด่านแม่สอด จ.ตาก ด่านแม่สาย จ.เชียงราย ด่านในจังหวัดชายแดนภาคใต้

          ด้านนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กรมได้เร่งดำเนินภารกิจสำคัญ ได้แก่ การหาข้อสรุป FTA ที่อยู่ระหว่างเจรจา อาทิ ไทย-สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ไทย-ศรีลังกา และไทย-เอฟตา และเปิดการเจรจา FTA กับประเทศและกลุ่มประเทศใหม่ๆ รวมทั้งเจรจาผ่านการประชุม JTC เพื่อสร้างพันธมิตรด้านเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า และการเข้าร่วมประชุมเวทีเจรจาการค้า อาทิ APEC WTO และ ASEAN นอกจากนี้ กรมยังได้สร้างความรู้ความเข้าใจเรื่อง FTA ให้กับเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งจัดกิจกรรมสร้างเครือข่าย การจับคู่เจรจาธุรกิจ การจัดงานแสดงสินค้า FTA Fair และการให้คำปรึกษาด้านการค้าผ่าน FTA /RCEP Center ตลอดจนการขับเคลื่อนให้เกิดการจัดตั้งกองทุน FTA เพื่อช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดตลาด FTA อีกด้วย 





-----------------------------------------------


 


ชมข้อมูล
image



          นายนภินทร ศรีสรรพางค์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานและมอบประกาศนียบัตรให้แก่ผู้สำเร็จหลักสูตรเครือข่ายผู้บริหารองค์กร (Business Enterprises Networking Forum หรือ “BenF” (เบนเอฟ)  โดยหลักสูตร BenF มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ผ่านการบรรยายถ่ายทอดองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมถึงมาตรการทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ และสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ประกอบการในการต่อยอดทางธุรกิจ การค้า และการลงทุน ตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมการปรึกษาหารือ รวมทั้งการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้เข้าร่วมหลักสูตร 

          สำหรับผู้เข้าร่วมหลักสูตร BenF กรมฯ ได้คัดเลือกจากกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้บริหารองค์กรในระดับเจ้าของธุรกิจ ทายาทเจ้าของธุรกิจ และผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานชั้นนำของไทย และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ รวมจำนวน 52 คน อาทิ จากกลุ่มสินค้าเกษตร อาหาร อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ ยานยนต์ขนส่งและโลจิสติกส์ รวมทั้งภาคบริการ ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพไทย ตลอดจนภาคการศึกษา สถาบันวิจัยและพัฒนา ซึ่งการจัดหลักสูตรครั้งนี้ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย โดยหลังจบหลักสูตรฯ ได้ก่อให้เกิดมูลค่าการค้าทันทีมากกว่า 41.5 ล้านบาท และมีการเจรจาธุรกิจมากกว่า 30 คู่ ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าระหว่างกันได้อย่างต่อเนื่อง 

          หลักสูตร BenF รุ่นแรกนี้ ได้จัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 17 สิงหาคม – 29 กันยายน 2566 โดยเป็นการรับฟังการบรรยายพิเศษ กิจกรรมสร้างเครือข่าย และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางธุรกิจ จำนวน 5 ครั้ง และเข้าร่วมกิจกรรมภายใต้โครงการเตรียมความพร้อมภาคอุตสาหกรรมกระตุ้นการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) ณ จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 1 ครั้ง รวมเป็นจำนวน 6 ครั้ง โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับประเทศและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ จำนวน 16 ท่าน ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงมาตรการทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ อาทิ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คุณดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการส่งออกและการนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) คุณตุล เมฆยงค์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง คุณโสรดา เลิศอาภาจิตร์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนอัครราชทูตฝ่ายการพาณิชย์จากสถานเอกอัครราชทูตจีน สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เป็นต้น

          “หลักสูตร BenF รุ่นที่ 1 ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นลงแล้ว และบรรลุผลตามที่มุ่งหวังทุกประการ ซึ่งผลจากการจัดหลักสูตรฯ ในรุ่นนี้ นอกจากจะทำให้ผู้ประกอบการมีองค์ความรู้ด้านการค้าต่างประเทศเชิงลึก และการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันอย่างเหนียวแน่นแล้ว ยังมีการเจรจาธุรกิจก่อให้เกิดมูลค่าทางธุรกิจ ซึ่งการสร้างมูลค่าทางธุรกิจในลักษณะนี้จะยังคงมีอยู่ใน BenF รุ่นถัดไป โดยจะมีการเชื่อมเครือข่ายในทุกๆ รุ่น เข้าด้วยกัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และกรมฯ มีแนวคิดที่จะบริหารให้เกิดความร่วมมือกันอย่างสมดุลระหว่างผู้ประกอบการทุกภาคส่วน โดยรวมเอาตัวแทนผู้ประกอบการตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ภาคการผลิตทั้งในกลุ่มเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ภาคการขนส่ง ภาคธุรกิจบริการและการตลาด รวมไปถึงผู้ค้าปลีก/ค้าส่ง ผู้ส่งออก และผู้นำเข้าจากต่างประเทศ มาร่วมในหลักสูตรฯ อย่างครอบคลุม”

          ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลข่าวสารของหลักสูตร BenF ได้ที่สำนักบริหารนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า โทรศัพท์ 02 547 5129 หรือสายด่วนกรมการค้าต่างประเทศ 1385 หรือเว็บไซต์กรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th



-----------------------------------------------

 


ชมข้อมูล
image



          นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ โดยมีคณะกรรมการฯ ผู้แทนภาครัฐ ผู้แทนภาคเอกชนเข้าร่วมประชุม ภายหลังการประชุมฯ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความดีใจที่เห็นรอยยิ้มของผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่าน ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีในการทำงาน พร้อมกล่าว ขอบคุณสำหรับรอยยิ้มและการต้อนรับอย่างอบอุ่น นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการหารือระหว่างส่วนราชการ ภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อน Soft power ประเทศไทยอย่างบูรณาการ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายให้ความสำคัญกับการส่งเสริม Soft power ของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นว่าเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าและบริการ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อีกทั้ง เป็นการส่งเสริมและสร้างความเชื่อมั่นของประเทศไทยในเวทีโลก รัฐบาลจึงได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ประกอบด้วยหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ประเทศไทย โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนโครงการ แผนงาน และมาตรการต่าง ๆ ที่มีผลกระทบสูง ผ่านคอนเทนต์ 11 อุตสาหกรรม Soft power เป้าหมายของประเทศไทย โดยจะต้องเพิ่มความเข้มข้นในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของไทยให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมในทุกสาขาที่เกี่ยวข้อง 



          ทางด้าน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กล่าวว่า ได้จัดทำแผนผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ของไทย โดยจะเร่งขับเคลื่อน 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ หรือ One Family One Soft Power (OFOS) และ Thailand Creative Content Agency (THACCA) มีเป้าหมายยกระดับทักษะคนไทยจำนวน 20 ล้านคน สู่การเป็นแรงงานทักษะขั้นสูงและแรงงานสร้างสรรค์ และจะสามารถสร้างรายได้อย่างน้อย 4 ล้านล้านบาทต่อปี สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำด้านชอฟต์พาวเวอร์ของโลก   



          สำหรับแนวทางการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายตามตามนโยบาย OFOS และ THACCA ได้แบ่งขั้นตอนการดำเนินการเป็น 3 ขั้น ได้แก่ ขั้นที่ 1 การพัฒนาคนผ่านกระบวนการส่งเสริมบ่มเพาะศักยภาพ โดยจะเฟ้นหา    คนที่มีความฝันและอยากทำความฝันนั้นให้เป็นจริง ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ จำนวน 20 ล้านคน จาก 20 ล้านครัวเรือน โดยให้แจ้งลงทะเบียนกับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง เพื่อบ่มเพาะผ่านศูนย์บ่มเพาะทักษะสร้างสรรค์ ทั้งด้านทำอาหาร ฝึกมวยไทย วาดภาพศิลปะ ฝึกการแสดง ร้องเพลง ออกแบบ แฟชั่น ฝึกแข่ง e-sport และอื่น ๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย



           ขั้นที่ 2 การพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์สาขาต่าง ๆ ภายในประเทศ 11 สาขา ได้แก่ อาหาร กีฬา เฟสติวัล ท่องเที่ยว ดนตรี หนังสือ ภาพยนตร์ เกม ศิลปะ การออกแบบและแฟชั่น กำหนดให้เป็นหน้าที่ขององค์กร THACCA ที่จะถูกจัดตั้งขึ้นในอนาคต โดยจะดำเนินการปรับแก้กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ   ที่ไม่สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป สร้าง One Stop Service อำนวยความสะดวกในการดำเนินการของอุตสาหกรรมชอฟต์พาวเวอร์ต่าง ๆ พร้อมกับการสนับสนุนเงินทุนวิจัยและพัฒนา การสร้างแรงจูงใจด้านภาษี การทลายกรอบบรรทัดฐานเดิมเพื่อให้เสรีภาพแก่ความคิดสร้างสรรค์ เปิดพื้นที่สาธารณะให้มากขึ้น ให้ทุกคนสามารถแสดงผลงานได้อย่างไร้ขีดจำกัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้งจะมีการจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบหรือ TCDC ในทุกจังหวัด มีการเพิ่มพื้นที่สำหรับ Co-Working Space ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร เพื่อส่งเสริมบรรยากาศการเรียนรู้ การพบปะกันเพื่อริเริ่มไอเดียสร้างสรรค์ และต่อยอดกลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์อย่างมั่นคงตั้งแต่ระดับภูมิภาค ไปจนถึงระดับประเทศ       



          ขั้นที่ 3 การนำอุตสาหกรรมชอฟต์พาวเวอร์รุกสู่เวทีโลก จะเดินหน้าผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศสู่ระดับสากลด้วยการทูตเชิงวัฒนธรรม หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ จะร่วมมือกับภาคเอกชนนำซอฟต์พาวเวอร์ของไทยเผยแพร่สู่ตลาดโลกผ่านยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนด้วยการวิจัยข้อมูลเชิงพฤติกรรม กลยุทธ์การสื่อสาร และการร่วมจัดกิจกรรมในระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งสามารถทำได้ทั้งที่เป็นกิจกรรมระดับโลกซึ่งจัดภายในประเทศ และการนำซอฟต์พาวเวอร์ศักยภาพสูงเข้าร่วมกิจกรรมระดับโลกในต่างประเทศ



          “นับจากวันนี้ รัฐบาลได้เริ่มนับหนึ่งการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศแล้ว และได้กำหนดเป้าหมายระยะสั้นและกลาง คือ ภายใน 100 วัน หรือ 11 ม.ค.2567 กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองจะพร้อมให้ประชาชนลงทะเบียนแสดงความสนใจเข้ารับการบ่มเพาะ จะมีการปรับปรุงศูนย์บ่มเพาะทักษะสร้างสรรค์ในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ พร้อมกับการปรับเปลี่ยนกฎหมายบางส่วนในระดับกฎกระทรวงหรือพระราชกฤษฎีกา ให้ส่งเสริมและสอดรับการดำเนินงานตามนโยบาย และจะร่วมจัด Winter Festival เทศกาลฤดูหนาวกับกรุงเทพมหานครอย่างยิ่งใหญ่ และภายใน 6 เดือน หรือภายในวันที่ 3 เม.ย.2567 จะเริ่มต้นกระบวนการบ่มเพาะศักยภาพคนผ่านศูนย์บ่มเพาะทักษะสร้างสรรค์ พร้อมเสนอร่างพระราชบัญญัติ THACCA เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร จะมีการจัดงานเทศกาลสงกรานต์ทั้งประเทศให้เป็นเทศกาลระดับโลกหรือ World Water Festival และจัดงาน ซอฟต์พาวเวอร์ฟอรัมนานาชาติ เพื่อระดมความคิดสร้างสรรค์ของคน  ในวงการซอฟต์พาวเวอร์ทั้งระดับประเทศและระดับโลก จากนั้นภายใน 1 ปี หรือวันที่ 3 ต.ค.2567 กระบวนการบ่มเพาะศักยภาพคน จะสามารถสร้างแรงงานทักษะสูงและแรงงานสร้างสรรค์ ได้จำนวนอย่างน้อย 1 ล้านคน และคาดว่าร่างพระราชบัญญัติ THACCA จะได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร และเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป รวมไปถึงการส่งเสริมการจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติและเทศกาลดนตรีนานาชาติ สนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์ของไทยในสาขาต่าง ๆ ไปร่วมงานในระดับโลก” น.ส.แพทองธารกล่าว



          นายกรัฐมนตรีกล่าวย้ำว่า  ในช่วง ต.ค.-ธ.ค. ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซัน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะใกล้ อาทิ จีน มาเลเซีย และอินเดีย และตลาดระยะไกล อาทิ รัสเซีย คาซัคสถาน และกลุ่มประเทศในทวีปยุโรป ซึ่งรัฐบาลได้มีการกระตุ้นการท่องเที่ยวสำหรับกลุ่มประเทศเป้าหมายเฉพาะไว้แล้ว ขอให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เร่งเตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ของไทย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงกีฬาอย่างมวยไทย และเทศกาลภาพยนตร์ ดนตรี และอาหาร เป็นต้น



********************

 


ชมข้อมูล
image



          นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล (Quick Win) ในการลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส โดยดึงผู้ประกอบการ 288 ราย ประกอบด้วย ผู้ผลิตสินค้า ของกินของใช้จำเป็น รวม 88 ราย ผู้จำหน่าย ทั้งห้างโมเดิร์นเทรด ห้างท้องถิ่น และห้างขายอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและอุปกรณ์ช่าง รวม 83 ราย ผู้ให้บริการ เช่น โรงพยาบาล ศูนย์บริการรถยนต์ และบริษัทขนส่งสินค้า/พัสดุ รวม 110 ราย แพลตฟอร์ม 7 ราย ปรับลดราคาสินค้าและบริการ รวมทั้งสิ้น 151,676 รายการ และแต่ละแพลตฟอร์มแจกโค้ดส่วนลดใช้สั่งอาหารและซื้อสินค้าออนไลน์  รวม 1,012,000 รายการ เริ่มตั้งแต่วันนี้ โดยกลุ่มสินค้าที่ลดราคา แบ่งเป็น 3 หมวด ได้แก่ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม เช่น อาหารสำเร็จรูป ข้าวสาร ซอสปรุงรส และเครื่องดื่ม รวม 3,058 รายการ ลดสูงสุด 87% หมวดของใช้จำเป็น เช่น ของใช้ประจำวัน เครื่องใช้ไฟฟ้า ของตกแต่งบ้าน-อุปกรณ์ช่าง ยาและเวชภัณฑ์ รวม 8,290 รายการ ลดสูงสุด 80% และหมวดปัจจัยการเกษตร ทั้งปุ๋ย เคมีเกษตร และอาหารสัตว์ 198 รายการ ลดสูงสุด 40% สำหรับกลุ่มบริการ แบ่งเป็น 3 หมวด ได้แก่ หมวดบริการทางการแพทย์ 140,000 รายการ ลดสูงสุด 20% หมวดบริการซ่อมและบำรุงรักษารถยนต์ 123 รายการ ลดสูงสุด 50% และหมวดบริหารขนส่งสินค้า/พัสดุ 7 รายการ ลดสูงสุด 69% 

          “ขอขอบคุณผู้ประกอบการทุกรายที่ออกมาประกาศปรับลดราคาสินค้าและบริการร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนได้ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท ยังช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในช่วงปลายปี ที่สำคัญช่วยสร้างสมดุลให้ทุกภาคส่วนได้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรมในลักษณะ Win-win ทั้งประชาชนผู้บริโภค เกษตรกร และผู้ประกอบการไม่ว่าจะรายเล็กหรือ รายใหญ่” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว 


 


ชมข้อมูล
image
ชมข้อมูล
image



          นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานใน “การประชุมหารือระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับภาคเอกชน” พร้อมด้วยนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันพุธที่ 27 กันยายน 2566 เวลา 15.00 น. ณ ห้องประชุมบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ 

          การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบสถานการณ์และทิศทางการค้า รวมทั้งประเด็นปัญหาและข้อเสนอของภาคเอกชน อาทิ การเร่งรัดเจรจา FTA เพื่อขยายโอกาสการค้าและการลงทุนของไทย การอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่ภาคเอกชน การจัด Campaign สนับสนุนสินค้าไทย เป็นต้น 

          โดยการประชุมดังกล่าวมีผู้แทนจากภาคเอกชนเข้าร่วมการประชุม จำนวน 5 หน่วยงาน ประกอบด้วย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสมาคมผู้ค้าปลีกไทย พร้อมกันนี้ได้เชิญผู้บริหารของหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ผู้แทนสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) และผู้แทนสำนักงานพาณิชย์จังหวัด (สพจ.) ทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศไทย เข้าร่วมรับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชน 

         การประชุมครั้งนี้เป็นหนึ่งในแนวทางการดำเนินงานตามนโยบาย ของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทั้งในด้าน “บริหารให้เกิดความสมดุล” โดยการสร้างดุลยภาพของทุกภาคส่วนทั้งประชาชน ผู้บริโภค เกษตรกร ผู้ผลิต และผู้ประกอบการภาคธุรกิจ ให้ทุกฝ่ายสามารถดำรงชีวิต ดำเนินธุรกิจไปได้ สร้างผลประโยชน์ที่ได้รับด้วยกันทุกฝ่าย ตลอดจนการเชื่อมโยงภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างโอกาสและขยายช่องทางการตลาดใหม่ ๆ และคาดหวังผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับนโยบายด้าน “ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส” เน้นการรดน้ำที่ราก ดูแลคนตัวเล็ก ต่อไปอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเป็น “การทำงานเชิงรุก และบูรณาการการทำงานร่วมกันของพาณิชย์จังหวัด และทูตพาณิชย์” ให้ร่วมงานกันได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยพาณิชย์จังหวัดถือเป็นหน้าด่านของกระทรวงพาณิชย์ ในการรับทราบและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที และทูตพาณิชย์ที่ผู้เชื่อมโยงสินค้าและบริการของไทยกับความต้องการของผู้บริโภคในต่างประเทศ ทำให้ขยายการส่งออกและผู้ประกอบการไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นร่วมอันจะเป็นการกระตุ้นและยกระดับเศรษฐกิจการค้าไทยให้เติบโตได้ต่อเนื่อง





********************

 


ชมข้อมูล
image



          นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เข้าร่วมพิธีเปิดงาน OTOP Midyear 2023 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานในพิธี ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 ศูนย์การแสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี

          ภายในงานมีการออกจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าโอทอปจากทั่วประเทศกว่า 1500 ร้านค้า โดยมีการออกร้านของหมู่บ้านทำมาค้าขาย ในความส่งเสริมของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จำนวน 11 หมู่บ้าน อาทิ กลุ่มทอผ้าย้อมสีธรรมชาติหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ , หมู่บ้านเบญจรงค์ดอนไก่ดี จังหวัดสมุทรสาคร , ชุมชนผลิตภัณฑ์เตยปาหนันบ้านดุหุน จังหวัดตรัง , ชุมชนบ้านนาต้นจั่น จังหวัดสุโขทัย ในการนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมพูดคุยกับผู้แทนหมู่บ้านเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมสินค้าของหมู่บ้านทำมาค้าขายต่อไป


 


ชมข้อมูล
image



          นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการตรวจเยี่ยมชมการจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัด ที่วัดบำเพ็ญเหนือ/วัดบางเพ็งใต้ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร (กทม.) ว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์กำลังติดตามการลดราคาสินค้า หลังจากที่ต้นทุนการขนส่งได้ปรับลดลง จากการปรับลดราคาน้ำมันดีเซล โดยได้ทำการคำนวณต้นทุนสินค้าแต่ละรายการแล้ว แม้จะลดไม่ได้หมด แต่จะพยายามเอาส่วนต่าง ๆ มาลดให้ได้ โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในชีวิตประจำวันของประชาชน ตัวไหนลดได้ จะลดทันที ตัวไหนที่ลดไม่ได้ จะพยายามตรึงราคาไว้  และมีการติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชน และถ้าหากมีปัจจัยเงื่อนไขอื่นที่สามารถลดราคาได้อีก ก็จะพยายามให้ปรับลดลง โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงต้นเดือน ต.ค.2566 นี้ 

          ส่วนการเปิดจุดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดนี้ เป็นโครงการที่กระทรวงพาณิชย์ทำคู่ขนานไป จากที่จะดูแลประชาชนในวงกว้าง ก็ทำการเปิดจุดจำหน่ายเจาะลึกไปยังแหล่งชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 100 จุด โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการ นำสินค้าราคาประหยุดถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 50-60% มาจำหน่ายให้กับพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ ที่คนตัวใหญ่ช่วยคนตัวเล็ก โดยสินค้าที่นำมาลดราคา เช่น ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำมันพืช หมูเนื้อแงด ไก่ นม อาหารต่าง ๆ ซองปรุงรส อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องอุปโภคบริโภค เป็นต้น และยังมีผลไม้ตามฤดูกาล ซึ่งตอนนี้เป็นมังคุด และลองกอง 

          สำหรับนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปดูแล เพื่อให้มีจุดจำหน่ายสินค้าให้ครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและใช้ได้ โดยร้านธงฟ้า จะผลักดันให้เข้าในโครงการ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ส่วนผู้ประกอบการรายย่อยที่กังวงเรื่องการเก็บภาษี มองว่าอย่าไปกังวล เพราะไม่ใช่เป้าหมายของรัฐบาล เป้าหมายของรัฐบาล คือ จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งผู้ได้ประโยชน์ คือ ทุกคนทั่วหน้าทุกฝ่าย ทั้งพี่น้องประชาชน ซึ่งถ้าเศรษฐกิจดี ก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น  การจับจ่ายใช้สอยก็จะดีขึ้น การจ้างงานต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการรายเล็ก รายกลาง ก็จะได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจด้วย หวังว่า 6 เดือนที่ใช้เงินจำนวนนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมให้มันดีขึ้น ประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนและการสร้างงาน


 


ชมข้อมูล
image
ชมข้อมูล
สรุปข่าวที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์
Template : สรุปข่าวที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงพาณิชย์
ข้อมูลที่น่าสนใจ
Master Template : ข้อมูลที่น่าสนใจ
จำนวนการเข้าชม : 595,951